ต้นไม้ประจำจังหวัด กาสะลองคำ หรือ ปีบทอง
ประวัติและความเป็นมา :
เชียงรายเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มริมฝั่งแม่น้ำกก จึงเป็นดินแดนที่มีผู้คนเข้ามาตั้งหลักแหล่งตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ และมีความรุ่งเรืองสืบต่อกันมาหลายุคสมัย
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ค้นพบในเขตที่ราบลุ่มรอบแม่น้ำกก สันนิษฐานได้ว่าบริเวณนี้เป็นศูนย์กลางของชุมชนมาแล้วตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ.1800 เพราะมีร่องรอยของซากเมืองที่มีความเจริญ ทางวัฒนธรรมและศิลปะ อยู่ตามริมแม่น้ำกก ซากเมืองโบราณที่ค้นพบในปัจจุบันมีถึง 27 เมือง ตั้งแต่ อ.ฝาง ของเชียงใหม่ ซึ่งเป็นต้นแม่น้ำกก มาจนถึงเมืองเชียงแสน ซึ่งโบราณสถานเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่า มีชุมชนตั้งถิ่นฐานอยู่ในลุ่มแม่น้ำกก อย่างหนาแน่น และได้ขยายตัวสร้างบ้านแปงเมืองกันไม่ขาดสาย
ประวัติศาสตร์ของเมืองเชียงรายเริ่มต้นในสมัยต้นพุทธศตวรรษที่ 19 โดยพญามังราย (พ.ศ.1781 - 1860) ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์มังราย บุตรของพญาลาวเม็ง ผู้ครองนครหิรัญนครเงินยาง (เชียงแสนในปัจจุบัน) ได้ขึ้นครองราชย์แทนพญาลาวเม็ง ในปี พ.ศ.1802 และได้ย้ายราชธานี จากเมืองหิรัญนครเงินยาง มาสร้างราชธานีแห่งใหม่ ที่ริมฝั่งแม่น้ำกก เมื่อ พ.ศ.1805 และได้ขนานนามว่า เชียงราย หมายถึง "เมืองของพญามังราย"
จากนั้นจึงได้รวบรวมหัวเมืองต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครือญาติสายเลือดลัวะจักราช เช่น เมืองเชียงไร เมืองไร เมืองปง เมืองเวียงคำ เชียงเงิน เชียงของ ฯลฯ เข้ามาไว้ในอำนาจ และแผ่อำนาจเข้าไปในเขตลุ่มน้ำปิง ปี พ.ศ.1839 ทรงย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำปิง ให้ชื่อราชธานีใหม่ว่า "นพบุรีศรีนครพิงค์ เชียงใหม่" และครองราชย์อยู่ที่เชียงใหม่ตลอด โดยให้ราชโอรส ไปครองเมืองเชียงรายแทน เชียงรายจึงกลายเป็นเมืองบริวารของเชียงใหม่ไป
เมื่อพญามังรายสวรรคตลง ภายในอาณาจักรล้านนาอันมีเมืองเชียงใหม่เป็นราชธานีเกิดความแตกแยก เจ้าผู้ครองนครแก่งแย่งชิงอำนาจกัน จนเกิดสงครามกลางเมือง พระเจ้าบุเรงนองฉวยโอกาสเข้าตีอาณาจักรล้านนาสำเร็จ พม่าได้ปกครองอาณาจักรล้านนาเป็นเวลากว่า 200 ปี และได้ฟื้นฟูเมืองเชียงแสนขึ้นเป็นเมืองสำคัญ ในการปกครองของหัวเมืองฝ่ายเหนือ
ต้นพุทธศตวรรษที่ 24 สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี พญากาวิละ เป็นผู้มีบทบาทสูง ในการเกลี้ยกล่อมให้บรรดาเมืองต่างๆ ในล้านนา ร่วมมือกันต่อสู้กับพม่า แต่ยังไม่สำเร็จ จนกระทั่งสมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 ทรงส่งกำลังมาสนับสนุนพญากาวิละ ต่อสู้กับพม่าจนเป็นผลสำเร็จ ทรงสถาปนาให้เชียงใหม่เป็นประเทศราชของกรุงรัตนโกสินทร์ และแต่งตั้งพญากาวิละเป็น "พระเจ้ากาวิละ" ปกครองเมืองเชียงใหม่ ในปี พ.ศ.2347 พระเจ้ากาวิละ ทรงยกทัพไปตีเมืองเชียงแสน และกวาดต้อนผู้คนออกจากบริเวณเมืองจนหมด เมืองต่างๆ รวมทั้งเชียงราย จึงถูกทิ้งให้เป็นเมืองร้าง
ต่อมาในปี พ.ศ.2386 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 3 เชียงรายได้รับการบูรณะขึ้นอีกครั้ง ในฐานะเมืองบริวารของเชียงใหม่ โดยมีเชื้อพระวงศ์ชั้นผู้ใหญ่เป็นเจ้าปกครองนคร
ในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงดำเนินนโยบายสร้างความเป็นเอกภาพทางการเมือง ประกาศจัดตั้งมณฑลพายัพขึ้น ในปี พ.ศ.2427 และยกเลิกหัวเมืองประเทศราชล้านนาไทย เมืองเชียงรายจึงจัดเป็นเมืองหนึ่งซึ่งขึ้นตรงต่อมณฑลพายัพ ในสมัยรัชกาลที่ 6 การปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลถูกยกเลิก เชียงรายจึงได้จัดตั้งขึ้นเป็นจังหวัดหนึ่งของสยามประเทศมานับแต่นั้น
วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2552
การท่องเที่ยว
ท่ามกลางสายลมหนาว พวกเราเริ่มต้นการเดินทางที่หมอชิต สถานีขนส่งสายเหนือที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน ตั๋วรถถูกจับจองจนเกือบหมด เหลือไว้เพียงรถปรับอากาศชั้น 2 พอให้ไม่สิ้นหวังจนเกินไปสำหรับการแอ่วเหนือรับลมหนาวครั้งแรกของชีวิต
หลังจากเวลาได้กว่า 12 โมง ก็ถึงจุดหมายปลายทาง สายลมหนาวเย็นยะเยือกลอยกระทบหน้า รู้สึกเคว้งคว้างจนบอกไม่ถูก แต่แล้วความรู้สึกนั้นก็หายไปเมื่อได้ยินเสียงทักทายอย่างเป็นมิตรด้วยภาษาคำเมืองจากผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งยืนทอดยิ้มละไมอยู่ในกลุ่มคน เพื่อนเก่าของเรานั่นเอง พวกเราใช้เวลาในการตัดสินใจไม่นาน เพราะทางเลือกมีแค่ศาลาริมทางกับข้อเสนอของเจ้าบ้านเท่านั้น และแล้วความประทับใจแรกก็เกิดขึ้นที่นี่ ผ่านค่ำคืนแรกสู่เช้าวันใหม่กับอากาศที่หนาวเย็นกว่าเดิม พวกเราเริ่มต้นอีกครั้งที่เชียงของกับเป้าหมายเก่าที่ผาตั้ง รถสองแถวพาเราออกจากเชียงของตอนสายของวันนั้น ผ่านเส้นทางที่ราบสูงเลียบริมฝั่งโขงที่ทอดตัวยาวขนานไปตลอดเส้นทาง เวลากว่าอีก 3 ชั่วโมงกับเส้นทางธรรมชาติที่เหมือนถูกจัดวางไว้อย่างลงตัว ในที่สุดก็มาถึงผาตั้ง พวกเราจัดแจงเลือกทำเลกางเต็นท์ และลิ้มลองรสชาติของขาหมูหมั่นโถยูนานแสนอร่อยเป็นอาหารมื้อเย็นของวัน แสงสีทองอร่ามเริ่มทอดตัวบนท้องฟ้า บ่งบอกเวลาใกล้ค่ำ แสงสุดท้ายช่างสงบ เยือกเย็นแต่มีชีวิตชีวาไม่แพ้ผู้คนที่ทยอยกันมาเป็นเพื่อนบ้านของเราในคืนนี้ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ค่ำคืนนี้ไม่เงียบเชียบจนเกินไป ความหนาวเหน็บมาเยือนเราอีกครั้ง พวกเราแอบมองตัววัดอุณหภูมิ เข็มกระดิกอยู่ที่ 11 องศาเซลเซียส หนาวเย็นจนนอนไม่หลับกันเลยทีเดียว แต่ด้วยมิตรภาพของคนแผ่นดินเดียวกัน เด็ก ๆ ชาวยูนานหลายคนที่เป็นไกด์ท้องถิ่นที่นี่ ต่างหอบหิ้วส้มสายน้ำผึ้ง ฟืนไฟและเตามาจากบ้าน มาให้ด้วยน้ำใจตามประสาเจ้าบ้านที่ดี พวกเราเลยสั่งขาหมูหมั่นโถมารับประทานด้วยกัน แก้หนาวกับเจ้าบ้านตัวน้อย เอร็ดอร่อยและอบอุ่นกันถ้วนหน้า
ใกล้รุ่งสางของอีกวัน พวกเรารีบเดินขึ้นเนิน 102-103 เพื่อไปรอชมทะเลหมอกและแสงแรกของที่นี่ เนินที่ค่อนข้างชันประกอบกับอากาศที่หนาวจัดทำให้การเดินทางไปยังจุดชมวิวค่อนข้างลำบาก แต่ทุกคนก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเมื่อลมวูบแรกปะทะตัวเป็นสัญญาณว่าเราขึ้นถึงยอดแล้ว เบื้องหน้าคือแม่น้ำโขงที่ลัดเลาะริมเทือกเขาผาหม่น มองดูลึกสุดลูกหูลูกตา ลมหนาวยังพัดมาตลอดเวลา ท้องฟ้ายังมืดมิด แต่เวลาไม่นานแสงแรกเริ่มโผล่จากขอบฟ้าของแผ่นดินลาว เหมือนของขวัญที่มีค่าสำหรับการรอคอย ดวงอาทิตย์กลมโตทอแสงสีส้มค่อย ๆ แยกตัวออกจากหมอกหนา ขึ้นสู่ฟ้าเบื้องบน เบื้องล่างถูกแทนที่ด้วยหมอกหนาราวกับทะเล พวกเราเฝ้ารอจนทะเลหมอกเหือดหายแต่ยอดดอยแห่งนี้ก็ยังไม่ทิ้งความงดงาม ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มราวภาพวาด ตัดกับสีของดอกพญาเสื้อโคร่งสีชมพูได้อย่างลงตัว. ตอนสายของวันพวกเราจำต้องจากดอยผาตั้งเพื่อเดินทางไปยังเป้าหมายถัดไป แต่เรื่องราวของที่นี่จะฝังอยู่ในใจพวกเราตลอดเวลา ทุกมิตรภาพที่เกิดขึ้นพวกเรายังรอให้หมุนกลับมาอีกครั้ง
หลังจากเวลาได้กว่า 12 โมง ก็ถึงจุดหมายปลายทาง สายลมหนาวเย็นยะเยือกลอยกระทบหน้า รู้สึกเคว้งคว้างจนบอกไม่ถูก แต่แล้วความรู้สึกนั้นก็หายไปเมื่อได้ยินเสียงทักทายอย่างเป็นมิตรด้วยภาษาคำเมืองจากผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งยืนทอดยิ้มละไมอยู่ในกลุ่มคน เพื่อนเก่าของเรานั่นเอง พวกเราใช้เวลาในการตัดสินใจไม่นาน เพราะทางเลือกมีแค่ศาลาริมทางกับข้อเสนอของเจ้าบ้านเท่านั้น และแล้วความประทับใจแรกก็เกิดขึ้นที่นี่ ผ่านค่ำคืนแรกสู่เช้าวันใหม่กับอากาศที่หนาวเย็นกว่าเดิม พวกเราเริ่มต้นอีกครั้งที่เชียงของกับเป้าหมายเก่าที่ผาตั้ง รถสองแถวพาเราออกจากเชียงของตอนสายของวันนั้น ผ่านเส้นทางที่ราบสูงเลียบริมฝั่งโขงที่ทอดตัวยาวขนานไปตลอดเส้นทาง เวลากว่าอีก 3 ชั่วโมงกับเส้นทางธรรมชาติที่เหมือนถูกจัดวางไว้อย่างลงตัว ในที่สุดก็มาถึงผาตั้ง พวกเราจัดแจงเลือกทำเลกางเต็นท์ และลิ้มลองรสชาติของขาหมูหมั่นโถยูนานแสนอร่อยเป็นอาหารมื้อเย็นของวัน แสงสีทองอร่ามเริ่มทอดตัวบนท้องฟ้า บ่งบอกเวลาใกล้ค่ำ แสงสุดท้ายช่างสงบ เยือกเย็นแต่มีชีวิตชีวาไม่แพ้ผู้คนที่ทยอยกันมาเป็นเพื่อนบ้านของเราในคืนนี้ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ค่ำคืนนี้ไม่เงียบเชียบจนเกินไป ความหนาวเหน็บมาเยือนเราอีกครั้ง พวกเราแอบมองตัววัดอุณหภูมิ เข็มกระดิกอยู่ที่ 11 องศาเซลเซียส หนาวเย็นจนนอนไม่หลับกันเลยทีเดียว แต่ด้วยมิตรภาพของคนแผ่นดินเดียวกัน เด็ก ๆ ชาวยูนานหลายคนที่เป็นไกด์ท้องถิ่นที่นี่ ต่างหอบหิ้วส้มสายน้ำผึ้ง ฟืนไฟและเตามาจากบ้าน มาให้ด้วยน้ำใจตามประสาเจ้าบ้านที่ดี พวกเราเลยสั่งขาหมูหมั่นโถมารับประทานด้วยกัน แก้หนาวกับเจ้าบ้านตัวน้อย เอร็ดอร่อยและอบอุ่นกันถ้วนหน้า
ใกล้รุ่งสางของอีกวัน พวกเรารีบเดินขึ้นเนิน 102-103 เพื่อไปรอชมทะเลหมอกและแสงแรกของที่นี่ เนินที่ค่อนข้างชันประกอบกับอากาศที่หนาวจัดทำให้การเดินทางไปยังจุดชมวิวค่อนข้างลำบาก แต่ทุกคนก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเมื่อลมวูบแรกปะทะตัวเป็นสัญญาณว่าเราขึ้นถึงยอดแล้ว เบื้องหน้าคือแม่น้ำโขงที่ลัดเลาะริมเทือกเขาผาหม่น มองดูลึกสุดลูกหูลูกตา ลมหนาวยังพัดมาตลอดเวลา ท้องฟ้ายังมืดมิด แต่เวลาไม่นานแสงแรกเริ่มโผล่จากขอบฟ้าของแผ่นดินลาว เหมือนของขวัญที่มีค่าสำหรับการรอคอย ดวงอาทิตย์กลมโตทอแสงสีส้มค่อย ๆ แยกตัวออกจากหมอกหนา ขึ้นสู่ฟ้าเบื้องบน เบื้องล่างถูกแทนที่ด้วยหมอกหนาราวกับทะเล พวกเราเฝ้ารอจนทะเลหมอกเหือดหายแต่ยอดดอยแห่งนี้ก็ยังไม่ทิ้งความงดงาม ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มราวภาพวาด ตัดกับสีของดอกพญาเสื้อโคร่งสีชมพูได้อย่างลงตัว. ตอนสายของวันพวกเราจำต้องจากดอยผาตั้งเพื่อเดินทางไปยังเป้าหมายถัดไป แต่เรื่องราวของที่นี่จะฝังอยู่ในใจพวกเราตลอดเวลา ทุกมิตรภาพที่เกิดขึ้นพวกเรายังรอให้หมุนกลับมาอีกครั้ง
การท่องเที่ยว
เที่ยวป่าดงนาทาม ริมลำน้ำโขง
ผาชะนะได จุดตะวันออกสุดสยาม ที่ลองจิจูด 105 องศา 37 ลิปดา 17 ฟิลิปดา
ชมพระอาทิตย์ขึ้นก่อนใครป่าดงนาทามอยู่ทางเหนือของอุทยานแห่งชาติผาแต้ม ด้านตะวันออกสุดของคมขวานติดกับแม่น้ำโขง มีพื้นที่ประมาณ 88 ตารางกิโลเมตร ภูมิประเทศเป็นที่ราบสูงสลับกับภูเขาหินทราย มีหน้าผาสูงชัน ริมแม่น้ำมีพลาญหิน หรือลานหิน เสาเฉลียง และแท่งหินรูปทรงแปลกตา กระจายอยู่ทั่วไป สภาพป่าส่วนใหญ่เป็นป่าเต็งรัง แทรกด้วยป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง และป่าสนสองใบ ในช่วงปลายฝนต้นหนาวจะมีดอกไม้บานสะพรั่งเต็มลานหิน
ธรรมชาติแห่งผืนป่าดงนาทามป่าดงนาทามเหมาะแก่การเดินป่าศึกษาธรรมชาติ เพราะนอกจากความหลากหลายของพืชพรรณและไม้ดอกสวยงามแปลกตาหลายชนิดแล้ว ยังมีน้ำตกขนาดเล็กและขนาดกลาง มีน้ำมากในช่วงเดือนกันยายน - ธันวาคม ได้แก่ น้ำตกกิ๊ด น้ำตกชะปัน น้ำตกห้วยพอก น้ำตกกวงโตน น้ำตกซ้อย และน้ำตกทุ่งนาเมือง หน้าผาริมโขงมีหลายแห่ง เช่น ผาชะนะได ผากำปั่น ผาหินแตก ผาจ้อมก้อม ผาแดง ผาหินฝน และผายะพืด เป็นจุดชมวิวทิวทัศน์แม่น้ำโขง ทะเลหมอกที่งดงามยามเช้า ชมพระอาทิตย์ขึ้นก่อนใครที่ผาชะนะได จุดแรกที่เริ่มนับเวลาการมาเยือนแผ่นดินไทยของพระอาทิตย์ในแต่ละวัน เสาเฉลียงและหินรูปร่างแปลกตา ได้แก่ หินเต่าชมจันทร์ เสาเฉลียงคู่ เสาเฉลียงภูจ้อมก้อม ลานหิน และดอกไม้ดิน บริเวณวัดภูอานนท์ ถ้ำไฮ ภูโลง ผายะพืด ถ้ำ ได้แก่ ถ้ำปาฏิหาริย์ ถ้ำฝ่ามือแดงบ้านปากลา ภาพเขียนสีที่โหง่นแต้ม ผาวัดภูอานนท์ และถ้ำฝ่ามือแดง
เส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติประกอบด้วย 2 เส้นทาง คือจากจุดเริ่มต้นที่วัดถ้ำปาฏิหาริย์ และจากหน่วยพิทักษ์ป่าที่ 4 บ้านทุ่งนาเมือง ทั้ง 2 เส้นทางนี้จะไปบรรจบกันที่น้ำตกห้วยพอก ซึ่งเป็นจุดที่เหมาะในการพักแรมกางเต็นท์ เพราะมีลานหินกว้างและอยู่ใกล้แหล่งน้ำ ระยะเวลาที่เหมาะในการเดินป่าดงนาทามประมาณ 2 วัน 1 คืนเส้นทางที่ 1 วัดถ้ำปาฏิหาริย์ น้ำตกห้วยพอก เริ่มต้นที่วัดถ้ำปาฏิหาริย์ ผ่านน้ำตกกิ๊ด หินเต่าชมจันทร์ น้ำตกซะปัน ตาน้ำ พลาญหินถ้ำไฮ เสาเฉลียงคู่ โหง่นแต้ม เนินสนสองใบ แวะพักแรมที่น้ำตกห้วยพอก วันรุ่งขึ้นชมทะเลหมอกยามเช้า และพระอาทิตย์ขึ้นก่อนใครที่ผาชะนะได เดินทางต่อ ผ่านผากำปั่น ผาหินแตก น้ำตกกวงโตน ถ้ำฝ่ามือแดง สุดปลายทางที่บ้านปากลา หมู่บ้านริมแม่น้ำโขง แวะชมวิถีชีวิตในหมู่บ้านก่อนเดินทางกลับทางรถยนต์หรืออาจล่องเรือตามลำน้ำโขงจากบ้านปากลาสู่บ้านคันท่าเกวียนเพื่อชมทิวทัศน์สองฝั่งโขง
เส้นทางที่ 2 บ้านทุ่งนาเมือง-น้ำตกห้วยพอก เริ่มต้นจากหน่วยพิทักษ์ป่าที่ 4 บ้านทุ่งนาเมืองผ่านถ้ำพระสง ผาเห็ดหิน หาดมารอ น้ำตกทุ่งนาเมือง ผาหินฝน หินโยก ผาแดง เนินสนสองใบ แวะพักแรมที่น้ำตกห้วยพอก วันรุ่งขึ้นใช้เส้นทางเดียวกับเส้นทางที่ 1สำหรับผู้ที่ต้องการท่องเที่ยวแบบไปกลับ ภายในวันเดียวสามารถวนกลับได้ที่จุดผาชะนะได น้ำตกห้วยพอก น้ำตกซะปันหรือผาแดง การเดินทางป่าดงนาทาม อยู่ห่างจากตัว จ.อุบลราชธานี เป็นระยะทางประมาณ 115 กม. ตามเส้นทางหมายเลข 217 (อุบลราชธานี-พิบูลมังสาหาร) หมายเลข 2222 (พิบูลมังสาหาร-โขงเจียม) หมายเลข 2134 (โขงเจียม-ศรีเมืองใหม่) เลี้ยวขวาเข้าหมายเลข 2112 (โขงเจียม-เขมราฐ) หรือใช้เส้นทางหมายเลข 2050 (อุบลฯ-ตระการพืชผล) 2134 (ตระการฯ-ศรีเมืองใหม่) และ 2135 (ศรีเมืองใหม่ - นาโพธิ์กลาง)สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ อบต.นาโพธิ์กลาง โทร. 0 4538 1063 ซึ่งมีบริการผู้นำทางในท้องถิ่น มีเต็นท์ให้เช่า ก่อนเดินทางควรเตรียมอาหาร น้ำตื่มขึ้นไปให้พร้อม ททท.สำนักงานอุบลราชธานี โทร. 0 4524 3770 www.tourismthailand.org/ubonratchathani
ผาชะนะได จุดตะวันออกสุดสยาม ที่ลองจิจูด 105 องศา 37 ลิปดา 17 ฟิลิปดา
ชมพระอาทิตย์ขึ้นก่อนใครป่าดงนาทามอยู่ทางเหนือของอุทยานแห่งชาติผาแต้ม ด้านตะวันออกสุดของคมขวานติดกับแม่น้ำโขง มีพื้นที่ประมาณ 88 ตารางกิโลเมตร ภูมิประเทศเป็นที่ราบสูงสลับกับภูเขาหินทราย มีหน้าผาสูงชัน ริมแม่น้ำมีพลาญหิน หรือลานหิน เสาเฉลียง และแท่งหินรูปทรงแปลกตา กระจายอยู่ทั่วไป สภาพป่าส่วนใหญ่เป็นป่าเต็งรัง แทรกด้วยป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง และป่าสนสองใบ ในช่วงปลายฝนต้นหนาวจะมีดอกไม้บานสะพรั่งเต็มลานหิน
ธรรมชาติแห่งผืนป่าดงนาทามป่าดงนาทามเหมาะแก่การเดินป่าศึกษาธรรมชาติ เพราะนอกจากความหลากหลายของพืชพรรณและไม้ดอกสวยงามแปลกตาหลายชนิดแล้ว ยังมีน้ำตกขนาดเล็กและขนาดกลาง มีน้ำมากในช่วงเดือนกันยายน - ธันวาคม ได้แก่ น้ำตกกิ๊ด น้ำตกชะปัน น้ำตกห้วยพอก น้ำตกกวงโตน น้ำตกซ้อย และน้ำตกทุ่งนาเมือง หน้าผาริมโขงมีหลายแห่ง เช่น ผาชะนะได ผากำปั่น ผาหินแตก ผาจ้อมก้อม ผาแดง ผาหินฝน และผายะพืด เป็นจุดชมวิวทิวทัศน์แม่น้ำโขง ทะเลหมอกที่งดงามยามเช้า ชมพระอาทิตย์ขึ้นก่อนใครที่ผาชะนะได จุดแรกที่เริ่มนับเวลาการมาเยือนแผ่นดินไทยของพระอาทิตย์ในแต่ละวัน เสาเฉลียงและหินรูปร่างแปลกตา ได้แก่ หินเต่าชมจันทร์ เสาเฉลียงคู่ เสาเฉลียงภูจ้อมก้อม ลานหิน และดอกไม้ดิน บริเวณวัดภูอานนท์ ถ้ำไฮ ภูโลง ผายะพืด ถ้ำ ได้แก่ ถ้ำปาฏิหาริย์ ถ้ำฝ่ามือแดงบ้านปากลา ภาพเขียนสีที่โหง่นแต้ม ผาวัดภูอานนท์ และถ้ำฝ่ามือแดง
เส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติประกอบด้วย 2 เส้นทาง คือจากจุดเริ่มต้นที่วัดถ้ำปาฏิหาริย์ และจากหน่วยพิทักษ์ป่าที่ 4 บ้านทุ่งนาเมือง ทั้ง 2 เส้นทางนี้จะไปบรรจบกันที่น้ำตกห้วยพอก ซึ่งเป็นจุดที่เหมาะในการพักแรมกางเต็นท์ เพราะมีลานหินกว้างและอยู่ใกล้แหล่งน้ำ ระยะเวลาที่เหมาะในการเดินป่าดงนาทามประมาณ 2 วัน 1 คืนเส้นทางที่ 1 วัดถ้ำปาฏิหาริย์ น้ำตกห้วยพอก เริ่มต้นที่วัดถ้ำปาฏิหาริย์ ผ่านน้ำตกกิ๊ด หินเต่าชมจันทร์ น้ำตกซะปัน ตาน้ำ พลาญหินถ้ำไฮ เสาเฉลียงคู่ โหง่นแต้ม เนินสนสองใบ แวะพักแรมที่น้ำตกห้วยพอก วันรุ่งขึ้นชมทะเลหมอกยามเช้า และพระอาทิตย์ขึ้นก่อนใครที่ผาชะนะได เดินทางต่อ ผ่านผากำปั่น ผาหินแตก น้ำตกกวงโตน ถ้ำฝ่ามือแดง สุดปลายทางที่บ้านปากลา หมู่บ้านริมแม่น้ำโขง แวะชมวิถีชีวิตในหมู่บ้านก่อนเดินทางกลับทางรถยนต์หรืออาจล่องเรือตามลำน้ำโขงจากบ้านปากลาสู่บ้านคันท่าเกวียนเพื่อชมทิวทัศน์สองฝั่งโขง
เส้นทางที่ 2 บ้านทุ่งนาเมือง-น้ำตกห้วยพอก เริ่มต้นจากหน่วยพิทักษ์ป่าที่ 4 บ้านทุ่งนาเมืองผ่านถ้ำพระสง ผาเห็ดหิน หาดมารอ น้ำตกทุ่งนาเมือง ผาหินฝน หินโยก ผาแดง เนินสนสองใบ แวะพักแรมที่น้ำตกห้วยพอก วันรุ่งขึ้นใช้เส้นทางเดียวกับเส้นทางที่ 1สำหรับผู้ที่ต้องการท่องเที่ยวแบบไปกลับ ภายในวันเดียวสามารถวนกลับได้ที่จุดผาชะนะได น้ำตกห้วยพอก น้ำตกซะปันหรือผาแดง การเดินทางป่าดงนาทาม อยู่ห่างจากตัว จ.อุบลราชธานี เป็นระยะทางประมาณ 115 กม. ตามเส้นทางหมายเลข 217 (อุบลราชธานี-พิบูลมังสาหาร) หมายเลข 2222 (พิบูลมังสาหาร-โขงเจียม) หมายเลข 2134 (โขงเจียม-ศรีเมืองใหม่) เลี้ยวขวาเข้าหมายเลข 2112 (โขงเจียม-เขมราฐ) หรือใช้เส้นทางหมายเลข 2050 (อุบลฯ-ตระการพืชผล) 2134 (ตระการฯ-ศรีเมืองใหม่) และ 2135 (ศรีเมืองใหม่ - นาโพธิ์กลาง)สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ อบต.นาโพธิ์กลาง โทร. 0 4538 1063 ซึ่งมีบริการผู้นำทางในท้องถิ่น มีเต็นท์ให้เช่า ก่อนเดินทางควรเตรียมอาหาร น้ำตื่มขึ้นไปให้พร้อม ททท.สำนักงานอุบลราชธานี โทร. 0 4524 3770 www.tourismthailand.org/ubonratchathani
วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552
วิธีรักษาสิว
น้ำมะนาว รักษาสิวด้วย"วิธีธรรมชาติ" ... หาได้จากตู้เย็นในครัวที่บ้านใช้น้ำมะนาวเพื่อบรรเทา / รักษาสิว เป็นวิธีธรรมชาติในการรักษาสิวที่ง่ายและปลอดภัยสามารถใช้ได้ทั้งทาบนผิวและดื่ม ทั้งสองวิธีจะช่วยลดการเกิดสิวและรอยแผลเป็นทั้งภายนอกและภายใน ได้มีทดลองใช้น้ำมะนาวทั้งสองวิธีแล้ว (ทาโดยตรงบนผิวหน้า และดื่ม) และพบว่าภายใน 3 สัปดาห์ สิวก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด และเชื่อว่าการผสมน้ำมะนาวกับผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน จะช่วยให้ผลเร็วขึ้นทาน้ำมะนาวโดยตรงบนสิวน้ำมะนาวมีกรดผลไม้ AHA หรือ Alpha Hydroxy Acids ทำงานโดยการลอกเอาเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก ช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้แก่ผิว และช่วยให้เซลล์ผิวใหม่ที่อยู่ด้านล่างได้ผลัดขึ้นมาแทนที่เซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้ว ยังช่วยชำระรูขุมขนและช่วยให้ผิวรู้สึกสดชื่น สดใสด้วยสูตรน้ำมะนาว / วิธีใช้1.ล้างหน้าให้สะอาด2.บีบน้ำมะนาว 1 ช้อนชาในถ้วยเล็ก ใช้สำลีจุ่มน้ำมะนาวพอเปียก อาจผสมน้ำหากรู้สึกว่าแสบเกินไป3.ป้ายน้ำมะนาวลงบนสิว สิวหัวขาว สิวหัวดำ สิวหัวหนอง4.ทิ้งไว้ทั้งคืนโดยไม่ต้องล้างออก ล้างออกตอนเช้า และทาอีกครั้งก่อนเมคอัพ (หากคุณต้องใช้เมคอัพ)5.หากรู้สึกว่าน้ำมะนาวนั้นแรงเกินไป แม้ว่าจะผสมน้ำให้เจือจางแล้วก็ตาม ให้ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นวิธีการนี้ใช้เวลา 2 สัปดาห์เป็นอย่างต่ำจึงจะเห็นผล ดื่มน้ำมะนาวเพื่อรักษาสิวสามารถใช้วิธีการดื่มน้ำมะนาวเพื่อรักษาและทำความสะอาดภายในร่างกาย หรือขจัดสารพิษออกจากตับ และเพื่อให้การดูดซึมแร่ธาตุและวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย น้ำมะนาวนั้นเป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายและผิวพรรณ ที่ช่วยให้กระชุ่มกระชวย ดื่มง่าย และทำได้ง่ายความจริงแล้วการรักษาสิวด้วยการดื่มน้ำมะนาวนั้นมีประโยชน์หลายอย่าง ที่ทุกคนควรดื่ม (สำหรับคนที่ไม่แพ้มะนาว) ประโยชน์ต่าง ๆ เหล่านั้นคือ :-ขจัดกรดต่าง ๆ ที่ตกค้างออกไป เพราะน้ำมะนาวมีแร่ธาตุต่าง ๆ (วิตามินซี, โพแทสเซียม)-บรรเทาอาการท้องผูก-ทำความสะอาดตับด้วยกรดซิตริก และสร้างเอนไซม์เพื่อขจัดสารพิษในเลือด-ช่วยกระบวนการย่อยอาหาร-กำจัดนิ่วในไต และตับอ่อนการรักษาสิวโดยการดื่มน้ำมะนาว สูตร 11.บีบน้ำมะนาว 1 ผลลงในแก้ว2.เติมน้ำเปล่า 2 ถ้วย (ถ้วยละ 8 ออนซ์)3.ดื่มน้ำมะนาวที่ผสมนี้ได้ทั้งวันการรักษาสิวโดยการดื่มน้ำมะนาว สูตร 21.บีบน้ำมะนาว 1 ผล ผสมกับน้ำอุ่นที่ต้มแล้ว 1 ถ้วย (8 ออนซ์)2.ดื่มเป็นสิ่งแรกของวัน ในตอนเช้า3.หลังจากดื่มน้ำมะนาว งดการดื่ม หรือรับประทานสิ่งใด ๆ ภายในครึ่งชั่วโมง เพื่อให้น้ำมะนาวได้ชำระล้างร่างกาย
อ้างอิง:
อ้างอิง:
วิธีทำให้ผิวขาว
ในหมู่คนรักสวยรักงาม เป็นที่ทราบกันแบบอวดอ้างกล่าวขานต่อๆ กันมาว่า "กลูต้าไธโอน" เป็นสารที่ทำให้ผิวขาวผ่องและเป็นที่นิยมกันมาก แม้สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยจะออกมาเตือนผู้บริโภค ว่าไม่ควรหลงเชื่อโฆษณาที่อ้างว่าสามารถช่วยให้ผิวขาวขึ้น เพราะไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่จะทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างถาวร ผลิตภัณฑ์หรือยาอาจช่วยให้ผิวขาวได้ชั่วคราว แต่เมื่อหมดฤทธิ์ร่างกายก็ผลิตเม็ดสีตามปกติ อืม... แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะคะ สาวๆ ก็ต้องมาคู่กับความสวยความงาม วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับวิธีทำให้ผิวขาว บอกลาผิวหม่นหมองด้วยวิธีธรรมชาติๆ มาฝากเพื่อนๆ กันด้วย ว่าแล้วไปดู 27 วิธี บอกลาผิวหม่นหมองกันเลย... 1. การขัดผิว (Exfoliating) หมายถึง การขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวหน้า รากศัพท์ของมันมาจากคำว่า "foliage" ซึ่งแปลว่าใบพืช เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า อิพิเดอร์มิส (Epidermis) หรือผิวชั้นนอกเกิดขึ้นมาโดยผ่านกระบวนการสร้างจนมาเติบโตเต็มที่อยู่ชั้นบนสุดของผิวหนัง โดยเซลล์ที่ อยู่ล่างสุดของชั้นนี้ที่เรียกว่า เซลล์แรกเริ่ม (Basal Cells) จะสร้างเซลล์ลูกซึ่งจะเคลื่อนตัวขึ้นไปจนกลายเป็นผิวชั้นนอก เซลล์เหล่านี้มีหน้าที่เป็นตัวกั้นระหว่างร่างกายเรากับสิ่งแวดล้อมภายนอก ทั้งยังช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื้นภายในและป้องกันสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้าสู่ผิว หลังจากเซลล์ใหม่ที่แข็งแรงกว่า อยู่ประจำที่บนชั้นผิวหนังแล้ว เซลล์ผิวเก่าก็จะหลุดลอกออกโดยธรรมชาติ หากยังตกค้างอยู่บนผิวก็จะทำให้ผิวดูไม่มีชีวิตชีวา และดูเป็นสะเก็ด การขัดหน้าจึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการกำจัดเซลล์เก่าที่บดบังความสดใสนั่นเอง 2. ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการขัดผิว ก็ได้แก่ ฟองน้ำขัดรูปแบบต่างๆ เช่น ใยบวบ หรือครีม เช่น เอเอชเอ แม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถใช้ขัดผิวได้ การขัดผิวอย่างนุ่มนวลจะช่วยให้ผิวของคุณดูชุ่มชื่นและใสกระจ่าง 3. ควรหลีกเลี่ยงการขัดผิวด้วยวิธีรุนแรง และหากขัดมากเกินไป ก็อาจรบกวนหน้าที่ในการสกัดกั้นสิ่งแปลกปลอมของผิว รวมถึงทำให้ผิวอ่อนไหวมากขึ้นจนเกิดความแห้งกร้าน ไหม้แดด หรือปัญหาอื่นๆ ได้ง่าย 4. ถ้าไม่กำจัดออกไป ผิวจะเกิดการอุดตันและหายใจไม่ได้ ผลก็คือ ผิวจะหม่นหมอง ดูแล้วมีความมัน หรือบางทีอาจทำให้เกิดสิวอุดตัน รวมทั้งทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตใต้ผิวไม่ดี ทำให้ของเสียเกิดการสะสมตัว 5. ถ้าต้องการขัดผิวหน้า ก็ควรทำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง และขัดผิวกายเดือนละ 1-2 ครั้ง แต่ถ้าใครมีเซลลูไลท์ แนะนำให้ขัดผิวบริเวณส่วนนั้นทุกวัน โดยใช้ถุงมือผ้าที่ใช้สำหรับอาบน้ำนวดขัด เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และกำจัดของเสียออกทางระบบน้ำเหลือง 6. วิธีการขัดผิวที่ถูกต้อง สิ่งที่ต้องมีคือ ฟองน้ำสำหรับขัดผิวกาย ถุงมือผ้า อาบน้ำหรือใยบวบ และผลิตภัณฑ์ขัดผิว เลือกให้เหมาะกับสภาพผิว ถ้าไม่แน่ใจลองปรึกษาคนขาย 7. เริ่มต้นที่ทำผิวเปียก นำผลิตภัณฑ์ขัดผิวเทใส่ใยบวบ ฟองน้ำ หรือถุงมือ แล้วทาลงบนผิวเบาๆ นวดผลิตภัณฑ์บนผิวด้วยการวนมือเป็นลักษณะวงกลมเบาๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นระบบไหลเวียน ใช้น้ำล้างออกให้สะอาด ซับให้แห้ง แล้วทาครีมบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นในขณะที่ผิวยังชื้น 8. ผลิตภัณฑ์สำหรับขัดผิวควรเลือกที่เป็นครีมหรือเจล เนื้อครีมควรมีลักษณะเป็น เม็ดกลม เพื่อปกป้องผิวจากการระคายเคือง หรือเป็นแผลถลอก ขณะที่ขัดนวดผิวบริเวณนั้นควรมีความชื้นพอหมาด แล้วล้างออกด้วยน้ำมากๆ 9. ใยบวบ หรือใยขัดธรรมชาติ เป็นอุปกรณ์ขัดผิวที่มีประสิทธิภาพมาก แต่ถ้าออกแรงขัดมากเกินไป อาจทำให้แสบผิวได้ เพราะใยเหล่านี้มีลักษณะสาก และหยาบ เวลาขัด จึงควรขัดเบาๆ ไปทั่วร่างกายขณะอาบน้ำ และเมื่อใช้เสร็จแล้วควรล้างทำความสะอาดและผึ่งให้แห้ง 10. การใช้ผ้าสำหรับถูตัว หรือฟองน้ำถูตัวเวลาอาบน้ำ ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งของการขัดผิว โดยใช้ร่วมกับสบู่ หรือเจลอาบน้ำก็ได้ 11. เลียนแบบจากสปาชั้นนำ โดยการใส่น้ำให้เต็มอ่าง เติมเกลือเม็ดลงไป และเวลาที่ลงไปแช่ตัวอยู่ในอ่างให้ใช้เกลือ 1 กำมือ ขัดไปมาเบาๆ ให้ทั่วตัว และล้างตัวด้วยน้ำสะอาด 12. แปรงแปรงผิวสามารถใช้ได้ดี โดยขัดเบาๆ บนผิวที่แห้งก่อนอาบน้ำ เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดไป หรือจะใช้ในขณะอาบน้ำร่วมกับสบู่ หรือเจลอาบน้ำก็ได้ 13. การปรนนิบัติผิวให้นุ่มนวลขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น ควรเริ่มด้วยการใช้น้ำมันนวดผิวก่อนอาบน้ำ จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนของการขัดผิว เพื่อช่วยปรนนิบัติ ผิวสะอาดหมดจด สวยเนียนสดใสไปอีกนานๆ 14. เราสามารถทำครีมขัดผิวใช้เอง โดยการใช้เกลือเม็ดเล็กๆ ผสมกับน้ำมันทาผิว (Baby Oil) หรือน้ำมันมะกอกทาทั่วตัวทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที นวดให้ทั่ว แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด 15. สครับสำเร็จรูปมักมีลักษณะคล้ายๆ กัน คือมีบีด (bead) ซึ่งอาจทำจากเกลือ, น้ำตาล, อัลมอนด์ ฯลฯ ช่วยในการขัดผิว มีน้ำมันช่วยหล่อลื่นมีกลิ่นหอม อีกทั้งมีส่วนประกอบในการบำรุงผิวอีกหลายชนิด 16. เราสามารถทำสครับใช้เองง่ายๆ ด้วยการใช้ผักผลไม้ชนิดที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ในตัวเดียว คือมีผิวสัมผัสที่ให้ความหยาบเล็กน้อย แต่ต้องไม่ถึงกับให้ผิวระคายเคือง มีน้ำช่วยหล่อลื่นและมีวิตามินตรงกับความต้องการ 17. มะขามเปียก, สับปะรด มีเส้นใยช่วยขจัดขี้ไคล มีความเป็นกรด ช่วยทำความสะอาดผิว ทำให้ผิวขาวใส มีวิตามินซึ่งเป็นแอนติออกซิแดนท์สูง มะละกอมีเอนไซม์อ่อนๆ ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้ว วิตามินสูง แต่เนื้อมีความละเอียดมาก มะนาวเป็นกรด เหมาะใช้กับผิวส่วนที่หยาบกร้าน เช่น ข้อศอก, ส้นเท้านุ่มขึ้น แตงกวาช่วยให้ผิวสดชื่น มะพร้าวขูดมีน้ำมันช่วยบำรุงผิว แต่ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้งมากต้องระวัง ลองใช้ส้มเช้งมีคุณสมบัติ คล้ายสองชนิดแรก แต่ไม่เป็นกรดมาก 18. ถ้าคุณเลือกส่วนผสมหลักที่มีความพร้อมในตัวเดียว เช่น มะขามเปียกก็สามารถ นำมาสครับได้เลย แต่ถ้าเลือกมะละกอก็ควรหาสิ่งที่เป็นบีดเพิ่มเข้าไปด้วย เพราะบีดช่วยเพิ่มความสากในสครับ ทำให้สามารถขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้ง่ายขึ้น 19. เพื่อความปลอดภัยควรเลือกสิ่งที่อยู่ในครัวเรือนและมีโอกาสแพ้น้อยที่สุด เช่นเกลือมีฤทธิ์ช่วยสมานผิว, ข้าวสารบดละเอียดช่วยให้ผิวขาว, น้ำตาลทรายมีทั้งความสากและความหนืดอยู่ในตัวเอง, งาเนื้อไม่หยาบเกินไป มีน้ำมันอยู่ในตัวช่วยลดความระคายเคือง และกาแฟกระตุ้นให้ร่างกายขับสารพิษ สิ่งที่ควรระวังคือบีดบางชนิดมีเหลี่ยมคม จึงต้องนำมาบดให้ละเอียดก่อนนอกจากนั้นอาจเพิ่มน้ำมันลงไปเพื่อช่วยลดการเสียดสี 20. ถ้าคุณมีผิวมัน ใช้มะขามเปียกหรือสับปะรดซึ่งมีความเป็นกรดช่วยขจัดความมันผสมกับเกลือ มีฤทธิ์ช่วยสมานผิว เติมโยเกิร์ตช่วยบำรุงผิวก็ได้ 21. ถ้าคุณมีผิวแห้ง ใช้ส้มเช้งเป็นส่วนผสมหลัก...ปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นแว่นพอจับถนัดมือ ใส่งาขาวเป็นตัวช่วยขัด เพิ่มน้ำมันมะกอกเล็กน้อยลดความระคายเคือง 22. ถ้าคุณมีผิวแพ้ง่าย ใช้แค่งาขาว, งาดำผสมน้ำผึ้งหรือโยเกิร์ตก็พอ 23. การใช้น้ำมัน จุดประสงค์สำคัญคือช่วยหล่อลื่น และเป็นตัวช่วยลดความเข้มข้นของกรดสำหรับคนผิวแห้งเช่น ถ้าคุณต้องการใช้สับปะรดขัดผิว แต่เกรงว่าผิวจะแห้ง เกินไป การเพิ่มส่วนผสมน้ำมันก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะนอกจากช่วยให้ลื่นแล้ว น้ำมันยังช่วยเคลือบผิวไม่ให้มีการสูญเสียน้ำมากเกินไป 24. การเพิ่มนม, โยเกิร์ต, น้ำผึ้ง หรืออื่นๆ ที่ช่วยบำรุงผิว สามารถทำได้ แต่ต้องดูไม่ให้สครับข้นหรือเหลวเกินไป ลักษณะของสครับที่ดีควรมีความหนืดเล็กน้อย จับตัว อยู่บนผิวได้ และสะดวกแก่การขัด 25. ใครที่ชอบความหอมรื่นรมย์ สามารถเสริมกลิ่นด้วยการหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบลงไป 2-3 หยด ซึ่งต้องเป็นน้ำมันหอมระเหยสำหรับนวดตัว ซึ่งมักผสมที่ความเข้มข้นประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่สำหรับใส่เตาเผาน้ำมันเพราะน้ำมันหอมระเหย เข้มข้นจะทำให้ผิวไหม้ 26. คนที่มีโรคเกี่ยวกับต่อมน้ำเหลือง เช่น ต่อมน้ำเหลืองอักเสบรุนแรง, ต่อมน้ำเหลือง-โต, มีแผลเป็นหนอง หรือแม้แต่เป็นสิวอักเสบ ควรงดการสครับชั่วคราวจนกว่าจะหายเพราะการขัดเป็นการกระตุ้นให้อักเสบมากขึ้น 27. ถ้าจะสครับหน้าต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนที่สุด ขัดอย่างเบามือเพื่อกระตุ้นน้อยๆ เน้นไปที่ร่องจมูก เลี่ยงจุดที่บอบบางมากๆ เช่น รอบดวงตา
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)